การออกแบบกราฟิก 2D
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
การประยุกต์ใช้งานกราฟิก
การประยุกต์ใช้งานกราฟิก
ในปัจจุบันโลกได้วิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งการใช้งานกราฟิกนั้นสามารถสื่อความหมายได้ ดังนั้นงานกราฟิกนั้น
จะช่วยให้มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ เข้าใจกันได้ เกิดจินตนาการร่วมกัน
ในการนำสื่อกราฟิกมาใช้งานนั้นไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทางใด ผู้ที่นำเอาสื่อกราฟิกมาใช้ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขและปัญหาเหล่านี้ด้วย
คือ เพื่อนำมาใช้ในการขบคิด เพื่อแก้ปัญหา จัดระบบข้อมูล
และการนำเอาศิลปะมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสื่อสารมากที่สุด
นอกจากนี้งานกราฟิกนั้นยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในด้านต่างๆอีกมากมาย เช่น
ใช้ในการเป็นสื่อในการเรียน ใช้เพื่อโน้มน้าวจิตใจในการโฆษณา
ใช้ในการจัดนิทรรศการต่างๆ หรือใช้ในการจัดแสดงงาน เป็นต้น
ชนิดและรูปแบบไฟล์กราฟิก
ชนิดและรูปแบบไฟล์กราฟิก
Pixel (Picture + Element )
หน่วยพื้นฐานของภาพที่เป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆที่บรรจุค่าสี(ลองซูมภาพของเราเข้าไปมากๆแล้วเราจะเห็นสี่เหลี่ยมเล็กๆที่แต่ละสี่เหลี่ยมที่เล็กสุดจะเก็บสีไว้ 1 สี
Resolution(ความละเอียดของภาพ)
คือจำนวน Pixel ต่อพื้นที่หนึ่งหน่วย เช่น
-จำนวนเม็ดสีต่อตารางนิ้ว
pixels per inch : ppi
dot per inch : dpi
-จำนวนเม็ดสีต่อตารางเซนติเมตร
pixel per cm :ppi
72 ppi : งาน Website
100-150 ppi :งานทั่วไป
300-350 ppi :งานออกแบบสิ่งพิมพ์ที่ต้องการความคมชัดในการแสดงผลสูง
รูปแบบของภาพ
1.ภาพแบบบิตแมป(Bitmap)หรือราสเตอร์(Raster)คือภาพที่เกิดจากหน่วยภาพเล็กๆมารวมกันจนเป็นภาใหญ่คล้ายจิ๊กซอร์สามารถดูได้โดยการซูมภาพเข้าไป
กล่าวคือภาพเหล่านี้ยิ่งซูม(ขยาย)ยิ่งแตกจนดูไม่รู้เรื่องเช่นภาพนามสกุล .JPEG, .TIFF,.GIF เป็นต้น
2.ภาพแบบเวคเตอร์(Vector)
คือภาพที่เกิดจากเส้นโค้ง, เส้นตรงและคุณสมบัติสีของเส้นนั้นๆที่เกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์(ที่เรามองไม่เห็นด้วยตา)กล่าวคือที่จุดๆหนึ่งของภาพที่เราซูมเข้าไปมันจะเกิดจากการกำหนดคุณสมบัติไว้ว่าภาพเกิดจากเส้นตรงหรือเส้นโค้งที่เอียงกี่องศาเก็บค่ารหัสสีอะไรไว้เมื่อเราซูมขยายภาพไม่ว่าจะขนาดเท่าไหร่ก็ตามภาพมันจะไม่แตก(ไม่สูยเสียความละเอียดไป)เพราะการซูมภาพเป็นการคูณจำนวนเท่าลงไปที่คุณสมบัติภาพนั่นเองดังนั้นถ้าเราแก้ไขภาพก็คือไปแก้ไขคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ไม่ว่าจะย่อหรือขยายกี่ครั้งภาพแบบนี้จะยังคมชัดเท่าเดิมภาพVector เหล่านี้ได้แก่
-ภาพ .wmf (Clipart ที่เราไว้ตกแต่งใน Microsoft Office นั่นเอง)
-ภาพใน Adobe Illustrator, Macromedia Freehand
กล่าวคือภาพเหล่านี้ยิ่งซูม(ขยาย)ยิ่งแตกจนดูไม่รู้เรื่องเช่นภาพนามสกุล .JPEG, .TIFF,.GIF เป็นต้น
2.ภาพแบบเวคเตอร์(Vector)
คือภาพที่เกิดจากเส้นโค้ง, เส้นตรงและคุณสมบัติสีของเส้นนั้นๆที่เกิดจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์(ที่เรามองไม่เห็นด้วยตา)กล่าวคือที่จุดๆหนึ่งของภาพที่เราซูมเข้าไปมันจะเกิดจากการกำหนดคุณสมบัติไว้ว่าภาพเกิดจากเส้นตรงหรือเส้นโค้งที่เอียงกี่องศาเก็บค่ารหัสสีอะไรไว้เมื่อเราซูมขยายภาพไม่ว่าจะขนาดเท่าไหร่ก็ตามภาพมันจะไม่แตก(ไม่สูยเสียความละเอียดไป)เพราะการซูมภาพเป็นการคูณจำนวนเท่าลงไปที่คุณสมบัติภาพนั่นเองดังนั้นถ้าเราแก้ไขภาพก็คือไปแก้ไขคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ไม่ว่าจะย่อหรือขยายกี่ครั้งภาพแบบนี้จะยังคมชัดเท่าเดิมภาพVector เหล่านี้ได้แก่
-ภาพ .wmf (Clipart ที่เราไว้ตกแต่งใน Microsoft Office นั่นเอง)
-ภาพใน Adobe Illustrator, Macromedia Freehand
ชนิดของภาพสำหรับงานกราฟฟิก
1.JPEG(Joint Photograhic's Experts Group)
จุดเด่น
-สนับสนุนสีได้มากถึง 24 bit
-สามารถกำหนดคุณภาพ และตั้งค่าการบีบอัดไฟล์ภาพได้
จุดเด่น
-สนับสนุนสีได้มากถึง 24 bit
-สามารถกำหนดคุณภาพ และตั้งค่าการบีบอัดไฟล์ภาพได้
-ใช้ใน Internet(Worl Wild Web) มีนามสกุล.jpg
-มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจำนวนมาก
-เรียกดูภาพได้ใน Graphic Browser ทุกตัว
จุดด้อย
-ไม่สามารถทำให้พื้นที่ของภาพเป็นแบบโปร่งใสได้(Transparent/Opacity)
-หากกำหนดค่าการบบอัดไว้สูงเมื่อส่งภาพจาก Server(แม่ข่าย)--->Client(ลูกข่าย)จะทำให้การแสดงผลช้า
เพราะต้องเสียเวลาในการขยายไฟล์
2.TIFF(Tag Image File Format)
มักใช้ในงานสิ่งพิมพ์-Desktop publishing, 3D application, Faxing, Medical Imaging Applicationภาพที่เราทำและตกแต่งในPhotoshop และ Microsoft PowerPoint ไม่ว่าจะเซฟมาเป็นนามสกุลอะไรก็ตาม ตอนส่งเข้าเครื่องพิมพ์ที่โรงพิมพ์เขาจะแปลงไฟล์และส่งเข้าเครื่องในนามสกุล .TIFF เท่านั้นดังนั้นถ้าท่านออกแบบสิ่งพิมพ์ใน Photoshop หรือ MicrosoftPowerPointขอให้เซฟงานเป็นนามสกุล .TIFF ไปเลยโดยรูปแบบของ TIFF มีหลายประเภทคือ -Grayscale, Color Pallete, RGB full color
-มีโปรแกรมสนับสนุนการสร้างจำนวนมาก
-เรียกดูภาพได้ใน Graphic Browser ทุกตัว
จุดด้อย
-ไม่สามารถทำให้พื้นที่ของภาพเป็นแบบโปร่งใสได้(Transparent/Opacity)
-หากกำหนดค่าการบบอัดไว้สูงเมื่อส่งภาพจาก Server(แม่ข่าย)--->Client(ลูกข่าย)จะทำให้การแสดงผลช้า
เพราะต้องเสียเวลาในการขยายไฟล์
2.TIFF(Tag Image File Format)
มักใช้ในงานสิ่งพิมพ์-Desktop publishing, 3D application, Faxing, Medical Imaging Applicationภาพที่เราทำและตกแต่งในPhotoshop และ Microsoft PowerPoint ไม่ว่าจะเซฟมาเป็นนามสกุลอะไรก็ตาม ตอนส่งเข้าเครื่องพิมพ์ที่โรงพิมพ์เขาจะแปลงไฟล์และส่งเข้าเครื่องในนามสกุล .TIFF เท่านั้นดังนั้นถ้าท่านออกแบบสิ่งพิมพ์ใน Photoshop หรือ MicrosoftPowerPointขอให้เซฟงานเป็นนามสกุล .TIFF ไปเลยโดยรูปแบบของ TIFF มีหลายประเภทคือ -Grayscale, Color Pallete, RGB full color
จุดเด่น
-เป็นรูปแบบที่ทำให้ภาพแบบราสเตอร์หรือบิตแมปสามารถใช้งานร่วมกับ Appicationต่างๆรวมทั้งโปรแกรมจัดการภาพจากScaner
จุดด้อย
-ไฟล์ภาพขนาดใหญ่เพราะต้องเก็บรายละเอียดความคมชัดไว้สูง
-เป็นรูปแบบที่ทำให้ภาพแบบราสเตอร์หรือบิตแมปสามารถใช้งานร่วมกับ Appicationต่างๆรวมทั้งโปรแกรมจัดการภาพจากScaner
จุดด้อย
-ไฟล์ภาพขนาดใหญ่เพราะต้องเก็บรายละเอียดความคมชัดไว้สูง
3.GIF(Graphics Interchange Format)
จุดเด่น
-เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับภาพที่จะแสดงบน Web/Internet
-มีขนาดเล็กมาก
-สามารถทำพื้นให้เป็นแบบโปร่งใสได้(Transparent/Opacity)
-สามารถทำเป็นภาพเคลื่อนไหวบนWebPageได้ โดยใช้เครื่องมือช่วยสร้างเช่น JAVA, Flash
-มีโปรแกรมสนับสนุนในการสร้างจำนวนมาก
-สามารถเรียกดูภาพได้ใน Graphic Browser ทุกตัว
จุดด้อย
-แสงภาพได้เพียง 256 สีเท่านั้นไม่เหมาะสำหรับการนำเสนอภาพถ่ายหรืองานที่ต้องการความคมชัดสูง
จุดเด่น
-เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับภาพที่จะแสดงบน Web/Internet
-มีขนาดเล็กมาก
-สามารถทำพื้นให้เป็นแบบโปร่งใสได้(Transparent/Opacity)
-สามารถทำเป็นภาพเคลื่อนไหวบนWebPageได้ โดยใช้เครื่องมือช่วยสร้างเช่น JAVA, Flash
-มีโปรแกรมสนับสนุนในการสร้างจำนวนมาก
-สามารถเรียกดูภาพได้ใน Graphic Browser ทุกตัว
จุดด้อย
-แสงภาพได้เพียง 256 สีเท่านั้นไม่เหมาะสำหรับการนำเสนอภาพถ่ายหรืองานที่ต้องการความคมชัดสูง
4.PNG(Portable Network Graphics)
จุดเด่น
-เอาคุณสมบัติของ(JPEG+GIF) มาใช้คือ สีมากกว่า 256สีและโปร่งใสได้(Transparent)
-PNG มีการบีบอัดข้อมูลโดยไม่เสียคุณภาพ
-ทำให้โปร่งใสได้(Transparency) และยังสามารถควบคุมองศาของความโปร่งใส(Opacity)ได้ด้วย
-เก็บบันทึกภาพด้วยสีจริง(True Color) ได้เช่นเดียวกับตารางสี(Pallete) และสีเทา(Grayscale)แบบ GIF
จุดด้อย
-ไม่สนับสนุนภาพเคลื่อนไหวเพราะไม่สามารถเก็บภาพหลายๆภาพไว้ด้วยกันได้
จุดเด่น
-เอาคุณสมบัติของ(JPEG+GIF) มาใช้คือ สีมากกว่า 256สีและโปร่งใสได้(Transparent)
-PNG มีการบีบอัดข้อมูลโดยไม่เสียคุณภาพ
-ทำให้โปร่งใสได้(Transparency) และยังสามารถควบคุมองศาของความโปร่งใส(Opacity)ได้ด้วย
-เก็บบันทึกภาพด้วยสีจริง(True Color) ได้เช่นเดียวกับตารางสี(Pallete) และสีเทา(Grayscale)แบบ GIF
จุดด้อย
-ไม่สนับสนุนภาพเคลื่อนไหวเพราะไม่สามารถเก็บภาพหลายๆภาพไว้ด้วยกันได้
5.BMP (Bitmap)
ไฟล์ภาพประเภทที่เก็บจุดของภาพแบบจุดต่อจุดตรงๆเรียกว่าไฟล์แบบ บิตแมพ(Bitmap ) ไฟล์ประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่แต่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างสมบูรณ์แต่เนื่องจากการเก็บแบบBitmap ใช้เนื้อที่ในการเก็บจำนวนมากจึงได้มีการคิดค้นวิธีการเก็บภาพให้มีขนาดเล็กลงโดยยังคงสามารถเก็บภาพได้เช่นเดิมขึ้นมาหลายวิธีการ เช่น JPEG และ GIF
ไฟล์ภาพประเภทที่เก็บจุดของภาพแบบจุดต่อจุดตรงๆเรียกว่าไฟล์แบบ บิตแมพ(Bitmap ) ไฟล์ประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่แต่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างสมบูรณ์แต่เนื่องจากการเก็บแบบBitmap ใช้เนื้อที่ในการเก็บจำนวนมากจึงได้มีการคิดค้นวิธีการเก็บภาพให้มีขนาดเล็กลงโดยยังคงสามารถเก็บภาพได้เช่นเดิมขึ้นมาหลายวิธีการ เช่น JPEG และ GIF
สีและแสงที่ใช้ในงานกราฟิก
สีและแสงที่ใช้ในงานกราฟิก
ปกติเมื่อพูดถึงสี มักจะนึกถึงแม่สี 3 สีแต่อย่างไรก็ตามการใช้สีกับงานกราฟิกในคอมพิวเตอร์
มีรายละเอียดหลายประการ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ดังนั้นจึงควรทราบระบบสี
ีของคอมพิวเตอร์ก่อน ระบบสีของคอมพิวเตอร์จะเกี่ยวข้องกับการแสดงผลแสงที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะการแสดงผล คือถ้าไม่มีแสดงผลสีใดเลย บนจอภาพจะแสดงเป็น "สีดำ" หากสีทุกสีแสดงผลพร้อมกันจะเห็นสีบนจอภาพเป็น "สีขาว" ส่วนสีอื่นๆ เกิดจากการแสดงสีหลายๆ สีแต่มีค่าแตกต่างกัน การแสดงผลลักษณะนี้ เรียกว่า การแสดงสีระบบ Addivtive |
||||||||
|
หลักการทำงานและการแสดงผลของภาพกราฟิก
หลักการทำงานและการแสดงผลของภาพกราฟิก
หลักการของกราฟิกแบบ Raster
หลักการของกราฟิกแบบ
Raster หรือแบบ Bitmap เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวกันของจุดสี่เหลี่ยมเล็กๆ หลากหลายสี ซึ่งเรียกจุดสี่เหลี่ยมเล็ก
ๆ นี้ว่าพิกเซล
ในการสร้างภาพกราฟิกจะต้องกำหนดจำนวนของพิกเซลให้กับภาพที่ต้องการสร้าง
ถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลน้อย
เมื่อขยายภาพให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้มองเห็นภาพเป็นจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
หรือถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลมากก็จะทำให้แฟ้มภาพมีขนาดใหญ่
ดังนั้นการกำหนดพิกเซลควรกำหนดให้เหมาะสมกับงานที่สร้าง คือ
• การใช้งานทั่ว
ๆ ไป กำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 100-150 ppi (Pixel/inch) หรือจำนวนพิกเซลต่อ
1 ตารางนิ้ว
• งานที่ต้องการความละเอียดน้อยและแฟ้มภาพมีขนาดเล็ก
เช่น ภาพสำหรับใช้กับเว็บไซต์จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 72 ppi
• งานพิมพ์
เช่น นิตยสาร โปสเตอร์ขนาดใหญ่ จะกำหนดจำนวนพิกเซลประมาณ 300-350
ข้อดีของภาพกราฟิกแบบ Raster
คือ สามารถแก้ไขปรับแต่งสีตกแต่งภาพ ได้ง่ายและสวยงาม
โปรแกรมที่นิยมใช้ คือ Paint, Adobe Photoshop
หลักการของกราฟิกแบบ Vector
เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์
หรือการคำนวณ ภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน แยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง
เส้นโค้ง รูปทรง เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพไม่ลดลง แฟ้มมีขนาดเล็กกว่าแบบ
Raster ภาพกราฟิกแบบ Vector นิยมใช้เพื่องานสถาปัตย์ตกแต่งภายใน และการออกแบบต่าง ๆ เช่น
การออกแบบอาคาร การออกแบบรถยนต์ การสร้างโลโก การสร้างการ์ตูน เป็นต้น
โปรแกรมที่นิยม คือ โปรแกรม Illustrator , CorelDraw , AutoCAD , 3Ds max
ประเภทของภาพกราฟิก
ประเภทของภาพกราฟิก
การสร้างภาพกราฟิกด้วยคอมพิวเตอร์
มีวิธีการสร้าง 2 แบบ คือ แบบบิตแมพ (Bit Mapped) และแบบเวกเตอร์ (Vector) หรือสโตรก (Stroked)
แต่ละแบบวิธีการรสร้างภาพดังต่อไปนี้
✖กราฟิกแบบบิตแมป
กราฟิกแบบบิตแมปความหมาย คือ
มีลักษณะเป็นช่องๆ เหมือนตาราง แต่ละบิตก็คือส่วนหนึ่งของข้อมูลคอมพิวเตอร์
(ซึ่งก็คือสวิตซ์ปิดเปิดในหน่วยความจำ "1"
หมายถึงเปิด และ "0" หมายถึงปิด)และสวิตซ์ปิดเปิดนี้ก็ยังหมายถึงสีดำและสีขาวอีกด้วย
ดังนั้นถ้าเราเอาบิตที่แตกต่างกันในแต่ละตารางมารวมกันเข้าเราจะสามารถสร้างภาพจากจุดดำและขาวเหล่านี้ได้กราฟิกแบบบิตแมปทุกชนิดมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่บางประการ
ถ้าทำความเข้าใจส่วนต่างๆเหล่านี้ เราสามารถที่จะป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
✖กราฟิกแบบเวกเตอร์
ภาพกราฟิกแบบ Vector
เป็นภาพกราฟิกที่เกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์
หรือการคำนวณ ซึ่งภาพจะมีความเป็นอิสระต่อกัน
โดยแยกชิ้นส่วนของภาพทั้งหมดออกเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง รูปทรง
เมื่อมีการขยายภาพความละเอียดของภาพจะไม่ลดลง แฟ้มมีขนาดเล็กกว่าแบบ Raster
ภาพกราฟิกแบบ Vector นิยมใช้เพื่องานสถาปัตยกรรมตกแต่งภายใน
และการออกแบบต่าง ๆ ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้สร้างภาพแบบ Vector คือ โปรแกรม Illustrator, CorrelDraw, 3DsMax แต่อุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลภาพ
เช่น จอคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องพิมพ์ จะเป็นการแสดงผลภาพแบบ Raster ภาพกราฟิกแบบ Vector ที่ขยายใหญ่ขึ้น
ความละเอียดของภาพจะไม่ลดลง
ลักษณะและความหมายของ Pixel
ในโลกของกราฟิกที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์ Pixel
ถือเป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของรูปภาพ เป็นจุดเล็กๆ
ที่รวมกันทำให้เกิดภาพขึ้น ซึ่งแต่ละภาพที่สร้างขึ้นจะมีความหนาแน่นของจุด Pixel
เหล่านี้แตกต่างกันไป
ซึ่งความหนาแน่นของจุดนี้เป็นตัวบอกถึงความละเอียดของภาพ
ความแตกต่างระหว่างกราฟิกแบบ Bitmap
และ Vector
✖
Bitmap
1. ลักษณะภาพประกอบขึ้นด้วยจุดต่างๆ มากมาย
2. ภาพมีจำนวนพิกเซลคงที่จึงต้องการค่าความละเอียดมากขึ้นเมื่อขยายภาพ
โดยจะคำนวณค่าสีทีละ pixels ทำให้ภาพแตกเมื่อขยายภาพให้ใหญ่
3. เหมาะสำหรับงานกราฟิก
ในแบบต้องการให้แสงเงาในรายละเอียด
4. แสดงภาพบนจอทันที
เมื่อรับคำสั่งย้ายข้อมูลจากหน่วยความจำที่เก็บภาพไปยังหน่วยความจำของจอภาพ
✖
Vector
1. ใช้สมการทางคณิตศาสตร์เป็นตัวสร้างภาพ
โดยรวมเอา Object (เช่น วงกลม เส้นตรง) ต่างชนิดมาผสมกัน
2. สามารถย่อและขยายขนาดได้มากกว่า
โดยสัดส่วนและลักษณะของภาพยังเหมือนเดิม ความละเอียดของภาพไม่เปลี่ยนแปลง
3. เหมาะสำหรับงานแบบวาง Layout งานพิมพ์ตัวอักษร Line Art หรือ Illustration
4. คอมพิวเตอร์จะใช้เวลาในการแสดงภาพมากกว่า
เนื่องจากต้องทำตามคำสั่งที่มีจำนวนมากกว่า
ความหมายเกี่ยวกับกราฟิก
ความหมายเกี่ยวกับกราฟิก
" กราฟิก " ( Graphic ) เป็นคำมาจากภาษากรีกว่า
Graphikosหมายถึง การเขียนภาพด้วยสีและเขียนภาพขาวดำ
และคำว่า " Graphein " มีความหมายทั้งการเขียนด้วยตัวหนังสือและการสื่อความหมายโดยการใช้เส้นเมื่อรวมทั้งคำ
Graphikosและ Grapheinเข้าด้วยกันวัสดุกราฟิกจะหมายถึงวัสดุใด
ๆซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด
ภาพเขียนและอักษรข้อความรวมกัน ภาพวาดอาจจะเป็น แผนภาพ ( Diagram ) ภาพสเก็ต ( Sketch ) หรือแผนสถิติ ( Graph ) หรืออาจเป็นคำที่ใช้เป็นหัวเรื่อง ( Title ) คำอธิบายเพิ่มเติมของแผนภูมิ
แผนภาพ แผนสถิติ และภาพโฆษณาอาจวาดเป็นการ์ตูนในรูปแบบหรือประเภทต่างๆ ภาพสเก็ต
สัญลักษณ์
และภาพถ่ายสามารถใช้เป็นวัสดุกราฟิกเพื่อสื่อความหมายในเรื่องราวที่แสดงข้อเท็จจริงต่างๆได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)